เมื่อฤดูกาล 2017-18 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวเตะจอมถล่มประตูของ ลิเวอร์พูล สร้างชื่อให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกมากขึ้น ด้วยการโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงขนาดเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ได้ ทั้งที่เพิ่งมาอยู่กับทีมเป็นซีซั่นแรก

ผลงานดังกล่าวทำให้หลายคนยกย่อง ซาลาห์ ว่าถึงขั้นเป็นนักเตะระดับโลกแล้ว ขณะที่บางคนบอกว่าควรจะต้องรอดูผลงานของเขาในฤดูกาลนี้ก่อน ซึ่งถึงแม้จะเจอปัญหาในช่วงต้นซีซั่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันก็ต้องบอกว่าแข้งวัย 26 ปี ทำผลงานหลายด้านได้ดีสุดๆ และอาจจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคู่ควรกับการเป็นนักเตะระดับโลกคนหนึ่ง โดยตัวอย่างของผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขามีดังต่อไปนี้

- แทบจะกลายเป็นกองหน้าตามธรรมชาติ

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซาลาห์ จะรับบทบาทเป็นนักเตะตัวริมเส้นที่ต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งการลากเลื้อยบอลทะลวงแนวรับของคู่แข่ง, ผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีม และทำประตูเอง ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างตลอด การทำได้ 44 ประตู จากการลงเล่น 52 นัดในทุกรายการเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ตัดสินใจลองให้ ซาลาห์ รับบทบาทแบบ "กองหน้า" มากขึ้น โดยหนึ่งในสาเหตุที่ คล็อปป์ ตัดสินใจแบบนั้นเพราะมองว่าก่อนหน้านี้คู่แข่งเริ่มหาวิธีหยุดดาวเตะชาวอียิปต์ได้บ้างแล้ว ดังนั้นพอทำการเปลี่ยนแปลงแบบนี้มันก็จะทำให้อีกฝ่ายรับมือ ซาลาห์ ได้ยากขึ้น และส่งผลดีกับ ลิเวอร์พูล ไปในตัว

แน่นอน การต้องตัดเข้ามาเล่นตรงกลางแบบ "กองหน้า" มากกว่าเดิมทำให้ ซาลาห์ ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ จนเจ้าตัวแสดงท่าทีไม่พอใจฟอร์มของตัวเองในบางนัด แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับการโยกตำแหน่งในครั้งนี้ได้แล้ว

หลักฐานที่สื่อถึงเรื่องนั้นได้ดีที่สุดก็คือการที่ ซาลาห์ นำเป็นดาวซัลโวของ พรีเมียร์ลีก ในตอนนี้ จากการทำไป 16 ลูก และการที่เขาทำประตูในกรอบ 6 หลาได้ถึง 31 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากโอกาสทั้งหมดในเกมลีก ขณะที่ฤดูกาลก่อนเขายิงในกรอบ 6 หลาเข้าประตูเพียง 12.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

- ทำประตูสำคัญๆ ได้อยู่เสมอ

19 ประตูจากการลงเล่นในทุกรายการประจำฤดูกาลนี้อาจจะดูเป็นผลงานที่น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับในซีซั่นก่อน ซึ่งมันก็ทำให้หลายคนมองว่า ซาลาห์ ฝีเท้าดร็อปลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วจากจำนวนประตูทั้งหมดที่ ซาลาห์ ทำได้ในฤดูกาลนี้นั้น มันมีถึง 10 ลูก ที่เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ให้กับ ลิเวอร์พูล และมันก็มี 4 เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะคู่แข่งด้วยสกอร์ 1-0 จากการทำประตูของ ซาลาห์ ด้วย โดย 4 เกมดังกล่าวได้แก่ 2 นัดกับ ไบรท์ตันฯ, เกมเยือน ฮัดเดอร์สฟิลด์ และเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดกับ นาโปลี

ประตูของ ซาลาห์ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เก็บ 3 แต้มในเกมที่พวกเขาน่าจะได้แค่ผลเสมอมาหลายต่อหลายนัด ซึ่งที่จริงแล้วถ้าไม่ได้ประตูของเขาแล้วล่ะก็ ทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็อาจจะไม่มีผลงานโดยรวมดีเหมือนอย่างในตอนนี้ก็ได้

หนึ่งในตัวอย่างของเรื่องนั้นคือเกมกับ นาโปลี เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเกมนั้น ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะอดเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ประตูเดียวของ ซาลาห์ มันก็ทำให้รองแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลก่อน ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ พร้อมกับมีโอกาสลุ้นซิวถ้วย "บิ๊กเอียร์" มาครองต่อไป

- ปั้นเกมดีกว่าเดิม

นอกจากจะทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำแล้วนั้น ฤดูกาลก่อน ซาลาห์ ยังถือเป็น "จอมปั้น" ชั้นยอดคนหนึ่ง เขาสามารถทำแอสซิสต์ในลีกได้ถึง 10 ครั้ง ซึ่งนั่นก็ช่วยทำให้ "หงส์แดง" จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 4 ของตารางคะแนนได้

ขณะที่ในฤดูกาลนี้ ซาลาห์ แอสซิสต์ไปแล้วทั้งหมด 7 หน จากการลงเล่นเกมลีก 23 นัด นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสดีที่จะทำผลงานในด้านนี้ได้ดีกว่าของฤดูกาลก่อน เพราะมันยังเหลือเกมลีกให้เล่นอีกถึง 15 เกม

ยิ่งไปกว่านั้น ซาลาห์ ยังมีค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับการผ่านบอลด้านต่างๆ ดีกว่าของฤดูกาลก่อนอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเฉลี่ยการแอสซิสต์ต่อ 1 เเกม, การสร้างโอกาสสำคัญๆ ต่อ 1 นัด, การผ่านบอลจังหวะสำคัญต่อ 1 เกม และ การจ่ายบอลทะลุช่องสำเร็จต่อ 1 เกม

เปรียบเทียบผลงานการผ่านบอลของ ซาลาห์
ค่าเฉลี่ยการแอสซิสต์ต่อ1นัด 0.31 (2017-18) / 0.33 (2018-19)
ค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสสำคัญๆต่อ1นัด 0.37 (2017-18) / 0.60 (2018-19)
ค่าเฉลี่ยการผ่านบอลจังหวะสำคัญต่อ1นัด 1.89 (2017-18) / 2.22 (2018-19)
ค่าเฉลี่ยการจ่ายบอลทะลุช่องสำเร็จต่อ1นัด 0.25 (2017-18) / 0.51 (2018-19)

ตัวเลขในเบื้องต้นเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ซาลาห์ มีพัฒนาการด้านการผ่านบอลที่ดีขึ้นอย่างมาก และถ้าเขายังทำได้แบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ มันก็คงมีคนยอมรับกันมากขึ้นว่าเขาสมควรเป็นหนึ่งในนักเตะชั้นนำของโลกแล้ว

สยามสปอร์ต